บทที่ 11
หลังจากที่ซือลั่วหลับไป เว่ยฉงซีที่อยู่เรือนด้านข้างกลับนอนไม่หลับ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาเป็นเพียง "สวะ" ตัวหนึ่ง นอกจากกินก็คือนอน เมื่อตอนกลางวันนอนไปเพียงพอแล้ว กลางคืนจึงนอนไม่หลับเป็นธรรมดา
ในห้องนั้นทั้งโล่งทั้งโกโรโกโส ยังมีกลิ่นอับจางๆ เมื่อดับไฟพวกหนูก็จะวิ่งออกมา
เว่ยฉงซีกำลังนึกถึงเรื่องการเปลี่ยนไปอย่างกะทันหันของซือลั่ว หนูใจกล้าตัวหนึ่งก็วิ่งมาอยู่ที่กลางห้อง มองไปมองมาอย่างกำเริบเสิบสาน
เว่ยฉงซียิ้มเย็น เหลือบมองไปที่หนูตัวนั้น "เจ้าคือซือลั่วจริงๆ งั้นหรือ หรือว่าเจ้ากำลังคิดจะใช้กลอุบายอันใดอีก"
หนูไม่ได้ตอบเขา ทำเพียงแค่ร้องจี๊ดๆ สองสามครั้ง
"แม้แต่เจ้าก็คิดจะใช้อำนาจบาตรใหญ่กับข้าเหรอ หืม"
เว่ยฉงซีคีบหินเล็กๆ ก้อนหนึ่งไว้ในมือ ขว้างไปทางหนู มันทุบลงบนตัวหนูอย่างแม่นยำจนตายในทันที
เมื่อมองไปทางหนูตายที่ไม่ขยับแล้วบนพื้น เว่ยฉงซีก็ยิ้มหยันแล้วเบนสายตาออกไป
…
ซือลั่วนอนหลับอย่างเต็มอิ่ม เมื่อตื่นขึ้นมาดวงอาทิตย์ก็อยู่กลางหัวแล้ว นางลืมตาขึ้น มองดูหลังคาบ้านอันทรุดโทรมแล้วถอนหายใจ
ที่แท้ทั้งหมดไม่ใช่ความฝัน นางกลับไปยังโลกปัจจุบันไม่ได้แล้วจริงๆ
ซือลั่วลุกขึ้นขยับแขนขาแล้วจึงเริ่มจัดระเบียบตนเอง
เจ้าของร่างเดิมรักสวยรักงาม รูปร่างต้องดูแลให้ดีตลอดเวลา แน่นอนว่าก็มีบางครั้งที่หิว แขนขาเรียวยาว ใบหน้าดูไปแล้วไม่เลวเลยทีเดียว
เมื่อนึกถึงนิสัยแย่ๆ ของเจ้าของร่างเดิม ซือลั่วก็ถอนใจอีกครั้ง ช่างเป็นคนที่สวยแต่รูปจูบไม่หอมเสียจริง
หลังจากชำระร่างกายเสร็จ ซือลั่วก็ออกจากห้อง แสงแดดอันเจิดจ้าที่ส่องอยู่กลางหัวทำเอานางแทบจะลืมตาไม่ขึ้น ซือลั่วเอามือบังไว้แล้วหันกายไปหาเว่ยฉงซีที่นั่น
“เว่ยฉงซี เจ้าตื่นหรือยัง ข้าเข้าไปแล้วนะ"
ซือลั่วตะโกนหนึ่งครั้งแต่ไม่มีใครตอบ หัวใจของซือลั่วจมดิ่ง คงไม่ใช่ว่าเว่ยฉงซีตายอยู่ด้านในแล้วหรอกนะ
นางรีบพุ่งเข้าไปในห้องอย่างร้อนลนและเห็นเว่ยฉงซีกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้า รูปร่างไม่เลวเพียงแต่ผอมไปหน่อย
นี่มัน…
“ข้าออกไปก่อนนะ” นางกล่าวจบก็วิ่งออกไป
เว่ยฉงซีขมวดคิ้วเล็กน้อย ยังไม่ทันตอบโต้อะไร ซือลั่วก็ผลักประตูเข้ามาอีก สายตาจับจ้องมองไปที่เว่ยฉงซี
เว่ยฉงซีก็มองไปที่นางเช่นกัน
สี่ตาประสาน เริ่มมีความกระอักกระอ่วนในบรรยากาศ
“เจ้าได้บาดแผลนี้มาได้อย่างไร" ซือลั่วเห็นรอยแผลเป็นหลายจุดบนร่างกายของเขา ตื้นลึกไม่เท่ากัน น่าจะเป็นร่องรอยที่เหลือจากตอนรบทัพจับศึก แต่รอยไหม้บนแขนของเขานางกลับรู้สึกว่าคุ้นตา
เว่ยฉงซียิ้มเย็น "เจ้าไม่รู้งั้นหรือ”
ซือลั่วชะงัก จากนั้นเดินถอยหลังไปหลายก้าว ถามโดยไม่รู้ตัว "มันเกี่ยวข้องกับข้าหรือ"
เว่ยฉงซีหรี่ตา แสงที่แปล่งชัดสายหนึ่งสาดประกายผ่านดวงตา แต่มันถูกเขาอำพรางซ้อนเร้นไปอย่างรวดเร็ว "ความจำช่วงนี้ของเจ้าไม่ค่อยดีนัก"
เขากล่าวไปพลางสวมเสื้อไปพลาง "อีกทั้งยังกลายเป็นคนไร้ยางอายไปแล้ว"
ซือลั่วกำลังนึกย้อนถึงความหลังอยู่แล้วโดนเขาเหน็บแนมอย่างกระทันหัน นางจึงเงยหน้าขึ้นอย่างดุดันจนได้สบสายตาอันเฉียบคมของเว่ยฉงซี และแล้วความเดือดดาลของนางก็หายไปโดยสิ้นเชิง
แต่ก่อนผักในร้านอาหารของซือลั่วล้วนมีฐานการเพาะปลูกเป็นของตัวเอง พวกผู้ชายภายในฐานที่ต้องทำงานตรากตรำในหน้าร้อนไม่ใช่ว่าต่างก็เปลือยท่อนบนกันหมดหรอกหรอ นางมิใช่ว่าไม่เคยเห็นมาก่อน ด้วยเหตุนี้เมื่อครู่ที่เห็นเว่ยฉงซีนางจึงไม่ได้รู้สึกอะไรแม้แต่น้อย ตอนนี้มาคิดดูแล้ว สตรีในยุคนี้ถ้าพบเจออะไรเช่นนี้ไม่ใช่ว่าควรจะต้องกรีดร้องหรือวิ่งหนีอย่างเขินอายหรอ
อีกทั้งนางยังจดจำได้ว่าเจ้าของร่างเดิมกับท่านอ๋องน้อยเว่ยไม่เคยอยู่กินฉันสามีภรรยา แล้วแม่นางผู้หนึ่งที่เห็นบุรุษเปลือยกายท่อนบน...
ไม่รู้ว่ากรีดร้องสองสามทีแล้ววิ่งหนีไปตอนนี้จะยังทันอยู่หรือไม่
“งั้นข้าออกไปก่อนละ”
ซือลั่วพูดจบแล้วกำลังจะไป เว่ยฉงซีกลับเปิดปากพูดอย่างใจเย็น
“ถ้าหากเป็นเมื่อก่อน เจ้าคงเริ่มต่อว่าข้าตั้งนานแล้ว ตกน้ำครานี้สามารถเปลี่ยนคนได้จริงๆ งั้นหรือ หรือว่าเจ้ามีจุดประสงค์อื่น เป็นใครสั่งให้เจ้าทำเช่นนี้”
“ไม่เป็นไรซือลั่ว บอกมาเถอะ มาดูกันว่าข้าจะชดเชยให้เจ้าอย่างไร”
เขาพูดอย่างประชดประชันเป็นที่สุด
ซือลั่วหยุดลงชั่วคราว แล้วหันกลับไปมองเขา ราวกับว่าแค่ชั่วพริบตาเดียวนางก็เข้าใจว่าทำไมวันนี้เว่ยฉงซีจึงพูดจาเสียดสีประชดประชันนัก เห็นชัดๆ ว่าเคียดแค้นนางถึงเพียงนี้ เช่นนั้นเหตุใดเมื่อวานจึงต้องคลานไปรอนางที่หน้าประตูด้วยเล่า
เขาโดดเดี่ยวเกินไปแล้ว!
เพียงชั่วข้ามคืน จากท่านอ๋องน้อยผู้สูงส่งกลับกลายเป็นโจรกบฎ บิดามารดาตายอย่างอนาจทั้งคู่ ส่วนตัวเองกลายเป็นคนไร้ประโยชน์ ทุกวันยังต้องทนแบกรับการข่มเหงจากเจ้าของร่างเดิมอีก
ในความเป็นจริงเมื่อเทียบกับความเจ็บปวดที่เขาได้รับจากเจ้าของร่างเดิม บาดแผลในใจของเขากลับลึกยิ่งกว่า บางทีมันอาจจะเป็นเพราะความไร้เหตุผลของเจ้าของร่างเดิมที่ทำให้เว่ยฉงซีไม่มีเวลาไปคิดถึงเรื่องราวของครอบครัว หรืออาจจะเป็นเพราะเขากลัวเกินไปที่จะนอนรอความตายภายในลานที่ทรุดโทรมเพียงลำพัง เว่ยฉงซีจึงสามารถทนเจ้าของร่างเดิมได้นานถึงเพียงนี้
และตอนนี้การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันของนางทำให้เว่ยฉงซีตื่นตระหนก จนเขาคิดว่านางกำลังจะหนีไป
ถ้าหากนางไปแล้ว ลานบ้านที่กว้างขวางก็คงจะกลายเป็นโลงศพที่มีชีวิตจริงๆ เขาไม่อยากอยู่ที่นี่เพียงลำพัง
และตัวเว่ยฉงซีเองก็อาจจะไม่ได้ตระหนักถึงสิ่งนี้แม้แต่น้อย
